หัวหน้าข่าว

ข่าว

ไทยเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า

ประเทศไทยได้จัดการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ พ.ศ. 2567 ครั้งแรกเมื่อเร็วๆ นี้ และได้ออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนายานยนต์พาณิชย์ไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้า เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุด ภายใต้มาตรการริเริ่มใหม่นี้ รัฐบาลไทยจะสนับสนุนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าข่ายผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี นับตั้งแต่วันที่นโยบายมีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2568 ผู้ประกอบการที่ซื้อยานยนต์พาณิชย์ไฟฟ้าที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทยจะได้รับการลดหย่อนภาษีสองเท่าของราคาจริงของรถยนต์ และไม่มีข้อจำกัดด้านราคา ผู้ประกอบการที่ซื้อยานยนต์พาณิชย์ไฟฟ้านำเข้าก็จะได้รับการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของราคาจริงของรถยนต์เช่นกัน

“มาตรการใหม่นี้มุ่งเป้าไปที่ยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุกไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้าเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ บรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์” นางนาลี เทสซาติลาชา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (ก.ล.ต.) กล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทย และเสริมสร้างสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เอเอสดี (1)

ที่ประชุมได้อนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดหนึ่งเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างระบบกักเก็บพลังงานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น การให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทผลิตแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน เพื่อดึงดูดผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โครงการริเริ่มใหม่นี้ยังช่วยเสริมและปรับปรุงมาตรการจูงใจในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในระยะใหม่ด้วย ตัวอย่างเช่น การขยายขอบเขตของยานยนต์ไฟฟ้าที่มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ จะครอบคลุมถึงรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีความจุผู้โดยสารไม่เกิน 10 คน และจะให้เงินอุดหนุนแก่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีสิทธิ์

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งประกาศใช้ในไตรมาสที่สี่ของปี 2566 จะให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567-2570 สูงสุด 100,000 บาท (ประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 36 บาท) ต่อการซื้อรถยนต์หนึ่งคัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของประเทศไทยภายในปี 2573 รัฐบาลไทยจะยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติที่มีสิทธิ์ในช่วงปี 2567-2568 พร้อมทั้งกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนหนึ่งภายในประเทศ สื่อไทยคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2566-2567 การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยจะสูงถึง 175,000 คัน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศต่อไป และคาดว่าประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 350,000 ถึง 525,000 คันภายในสิ้นปี 2569

เอเอสดี (2)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการเพื่อส่งเสริมการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ในปี 2566 ประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าบริสุทธิ์จดทะเบียนใหม่มากกว่า 76,000 คัน เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 9,678 คันในปี 2565 และตลอดทั้งปี 2566 จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ที่จดทะเบียนใหม่ในประเทศไทยมีมากกว่า 100,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 380% คุณคริสต้า อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า ในปี 2567 คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเติบโตต่อไป โดยคาดว่าจะมียอดจดทะเบียนสูงถึง 150,000 คัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์จีนหลายแห่งได้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย และรถยนต์ไฟฟ้าจีนได้กลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวไทยในการซื้อรถยนต์ จากสถิติพบว่าในปี พ.ศ. 2566 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนคิดเป็น 80% ของส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย และรถยนต์ไฟฟ้าสามแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยมาจากจีน ได้แก่ BYD, SAIC MG และ Nezha ตามลำดับ เจียง ซา ประธานสถาบันวิจัยยานยนต์ไทย กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าจีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดไทย ส่งผลให้ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาลงทุนในไทยยังได้นำอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น แบตเตอรี่ มาขับเคลื่อนการสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน (เว็บไซต์ People's Forum)


เวลาโพสต์: 6 มี.ค. 2567